โซ่ O-ring และ X-ring แตกต่างกันอย่างไร
- โซ่แบบ O-Ring
เป็นโซ่ที่พัฒนาขึ้นจากแบบธรรมดา โดยข้อต่อทุกชิ้นจะมียาง O-Ring คั่นกลางไว้ และภายใน O-Ring จะกักเก็บจาระบีไว้ข้างในเพื่อช่วยหล่อลื่นข้อต่อให้มีความลื่นไหลมากขึ้น และป้องกันฝุ่นเล็ดรอดเข้าไปในข้อต่อ ข้อดีคือใช้ได้งานกว่าแบบธรรมดา 3 เท่า (ประมาณ 20,000 กม.) ไม่ต้องการดูแลรักษามาก (แต่ก็ต้องหยอดน้ำมันบ้าง) ส่วนข้อเสียคือราคาจะแพงกว่าแบบธรรมดาเกือบเท่าตัว มักใช้ในรถบิ๊กไบค์หรือรถสมรรถนะสูง
- โซ่แบบ X-Ring
เป็นโซ่ที่พัฒนาขึ้นจากแบบ O-Ring อีกที โดยมีหลักการง่ายๆ คือ เส้นยางจะเป็นรูปตัว X ถ้าเอา X-Ring มาตัดตามแนวขวางจะเห็นเป็นรูปตัว X ดังนั้นจึงเรียกว่า X-Ring ซึ่งมีข้อดีคือช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างข้อต่อได้มากกว่าแบบ O-Ring เพราะมีร่องกักเก็บจาระบีถึง 4 ร่อง (ในขณะที่ O-Ring มีแค่ 2 ร่อง) ดังนั้นจึงมีความลื่นไหลมากกว่าและใช้งานได้นานกว่าโซ่ O-Ring ถึง 2 เท่า แต่ข้อเสียคือราคาแพงกว่าพอสมควร
สรุป
O-Ring : มีจุดสัมผัส ซึ่งจะเป็นตัวกักเก็บน้ำมัน 2 จุด (2 Contact Points)
X-Ring® : มีจุดสัมผัส ซึ่งจะเป็นตัวกักเก็บน้ำมัน 4 จุด (4 Contact Points)
O-Ring : มีแรงเสียดทาน (Friction)
X-Ring® : มีแรงเสียดทานน้อยกว่า (Friction less than)
O-Ring : สามารถใช้งานยาวนานมากกว่าโซ่ไม่มีลูกยาง 3 เท่า (Long Life)
X-Ring® : สามารถใช้งานยาวนานมากกว่า O-ring 2 เท่า (Long Life 2 times)